

หุ้นในดัชนี iEdge S-REIT
ที่มา: การประกาศของบริษัท, Bloomberg (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2568)
ตลาดทั่วโลกเผชิญกับการเทขายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศในอัตราเริ่มต้น 10% เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ตอบสนองอย่างรุนแรง โดยดัชนี S&P 500, Dow และ Nasdaq ร่วงลง 4.8%, 4% และ 6% ตามลำดับ ในการซื้อขายวันที่ 3 เมษายน
หลังจากเหตุการณ์นั้นและเมื่อวันที่ 4 เมษายน ดัชนี Straits Times (STI) ลดลงเกือบ 2% ในการซื้อขายช่วงเช้า และมีการเปลี่ยนมือของหุ้นมูลค่าประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ดัชนี STI ปิดสัปดาห์ด้วยการลดลง 3.7% หลังการขาดทุนติดต่อกันถึง 5 วันทำการซื้อขาย
ในทางกลับกัน ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สิงคโปร์ (S-REIT) ที่อิงกับดัชนี iEdge S-REIT กลับเพิ่มขึ้น 1.4% ในวันที่ 3 เมษายน หลังการประกาศอัตราภาษีของทรัมป์ และปิดสัปดาห์ในแดนบวกโดยเพิ่มขึ้น 0.2% S-REIT มีผลการดำเนินงานแซงหน้าตลาด REIT ทั่วโลก โดยดัชนี FTSE EPRA Nareit Global REITs ตกลงกว่า 3% ในการซื้อขายของวันที่ 3 เมษายน ส่วนดัชนี FTSE EPRA Nareit Asia Pacific และดัชนี FTSE EPRA Nareit Asia ex Japan นั้นมีผลการดำเนินงานต่ำกว่า S-REIT ที่ 0.2% และ 0.9% ตามลำดับ
นักลงทุนสถาบันมีการย้ายไปลงทุนใน S-REIT โดยมียอดซื้อสุทธิประมาณ 26 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในการซื้อขายของวันที่ 3 เมษายน ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงความต้องการความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกันและศักยภาพในการสร้างรายได้ท่ามกลางภาวะตลาดผันผวน
S-REIT ปิดไตรมาสที่หนึ่งของปีนี้ด้วยผลตอบแทนรวมที่ 2.8% ซึ่งเป็นผลจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น 5.0% ในเดือนมีนาคม นับเป็นผลตอบแทนรายเดือนที่ดีที่สุดในแปดเดือน
ภายในดัชนี iEdge S-REIT มีทรัสต์ที่มีราคาหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 23 แห่ง ราคาคงเดิม 2 แห่ง และราคาตกลง 5 แห่ง ในเดือนมีนาคม โดย S-REIT ที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดของเดือนนี้ คือ Frasers Hospitality Trust, Frasers Logistics & Commercial Trust, ParkwayLife REIT, Keppel REIT และ CapitaLand Integrated Commercial Trust นอกจากนี้ ParkwayLife REIT และ CapitaLand Integrated Commercial Trust ยังรั้งอันดับใน 5 ทรัสต์ที่ทำกำไรสูงสุดของวันที่ 3 เมษายน โดยมีกำไรที่ 5.2% และ 3.3% ตามลำดับ
ในทางกลับกัน ทรัสต์ที่มีผลการดำเนินงานต่ำในเดือนมีนาคม คือ Digital Core REIT, Keppel Pacific Oak US REIT, Sasseur REIT, Manulife US REIT และ Daiwa House Logistics Trust
ในเดือนมีนาคม Digital REIT มี Franklin Resources Inc หรือที่เป็นที่รู้จักในชื่อ Franklin Templeton ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของกองฯ ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 5.6% และได้เข้าซื้อหน่วยลงทุนจำนวน 969,800 หน่วย ที่ราคาเฉลี่ยหน่วยละ 0.577 ดอลลาร์สหรัฐ
ในแง่ของกระแสเงินทุน นักลงทุนสถาบันมีการเข้าซื้อมากกว่า 71 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในภาคธุรกิจ S-REIT ในเดือนมีนาคม หลังจากที่มีการขายออกสุทธิจากนักลงทุนสถาบันเป็นเวลา 5 เดือนติดต่อกันตั้งแต่เดือนกันยายนที่แล้ว
S-REIT ห้ากองที่มีการซื้อสุทธิจากนักลงทุนสถาบันมากที่สุดในเดือนมีนาคม คือ CapitaLand Integrated Commercial Trust, Mapletree Logistics Trust, Paragon REIT, Keppel REIT และ ParkwayLife REIT
ฝ่ายวิจัย DBS ระบุว่าประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์และภาษีการค้ายังคงเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศทวีความรุนแรงขึ้นและอาจทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวิจัยฯ เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาค REIT ในการนี้ โดยตัวเลือกของฝ่ายวิจัย DBS ยังคงเป็นภาคธุรกิจค้าปลีกของสิงคโปร์และภาคธุรกิจย่อยของภาคอุตสาหกรรม และตลาดยังคงคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสองครั้ง ในช่วงที่เหลือของปี 2568
สําหรับการวิจัยและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาค REIT ของสิงคโปร์ โปรดไปที่ https://www.sgx.com/securities/sectors สําหรับแผนภูมิ SREITs & Property Trusts
REIT Watch เป็นคอลัมน์ประจำใน The Business Times อ่านเวอร์ชันต้นฉบับได้ที่นี่ https://www.businesstimes.com.sg/companies-markets/s-reits-secondary-fundraising-rebounds-2024-more-may-tap-capital-markets-next-year