11 Nov 2024 | Category: Market Updates
การซื้อหุ้นคือโดยบริษัทบริษัทต่างประเทศที่ไม่มีหุ้นเป็นหลักทรัพย์ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ
1-7 พ.ย. 2567*
* ผ่านการเข้าซื้อกิจการ
ที่มา: SGX (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์)
ในการซื้อขายห้าวันทำการตั้งแต่ 1 – 7 พ.ย. นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายสุทธิของหุ้นสิงคโปร์ ส่งผลให้มีขอดขายสุทธิจากนักลงทุนสถาบันถึง 141 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งน้อยกว่ายอดขายสุทธิจากนักลงทุนสถาบันในห้าวันทำการก่อนหน้าที่มีตัวเลขที่ 404 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
หุ้นที่มียอดขายสุทธิจากนักลงทุนสถาบันในห้าวันทำการนี้ทำยอดนำโดย OCBC, Capitaland Ascendas Reit, CapitaLand Integrated Commercial Trust, Mapletree Pan Asia Commercial Trust, Mapletree Industrial Trust, UOB, Frasers Centrepoint Trust, Suntec Reit, Frasers Logistics & Commercial Trust และ Keppel
ในขณะเดียวกัน DBS, Hongkong Land Holdings, Singtel, Jardine Matheson Holdings, Singapore Technologies Engineering (ST Engineering), Sheng Siong Group, Yangzijiang Shipbuilding Holdings, Jardine Cycle & Carriage, Yanlord Land Group และ Capitaland Investment เป็นผู้นำในส่วนยอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนสถาบันในห้าวันทำการดังกล่าว
DBS มียอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนสถาบันถึง 109 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในวันที่ 7 พ.ย. หลังการประกาศผลการดำเนินงาน Q3FY2024 (สิ้นสุด 30 ก.ย.) ของบริษัท ซึ่งทางบริษัทได้ประกาศว่ามีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15% จาก 12 เดือนก่อนหน้า เป็นจำนวน 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และทางกลุ่มบริษัทยังได้ประกาศถึงโปรแกรมการซื้อหุ้นคืนอีกด้วย
นอกจากนี้ยังได้มีการประกาศว่า Yangzijiang Shipbuilding จะเข้าร่วมในดัชนี MSCI Singapore ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. ก้าวเข้าสู่การเป็นหุ้นขนาดกลางตามระเบียบวิธีดัชนีตลาดที่ลงทุนได้ทั่วโลก (Global Investable Market Indices (GIMI) methodology) ของ MSCI
ความสำเร็จของอู่ต่อเรือที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของอู่ต่อเรือปัจจุบันอยู่ที่ 10 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์นั้นเป็นที่น่าจับตาเนื่องจากระดับการวัดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับสูงขึ้นสำหรับตลาดที่พัฒนาแล้วในทั้งสี่บทวิเคราะห์ของ MSCI ในปีนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการปรับดัชนีใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2567 สิงคโปร์ขึ้นมาเป็นตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชียเพียงตลาดเดียวที่มีหุ้นในดัชนี MSCI Standard เพิ่มขึ้นสุทธิ
ในด้านภาคธุรกิจ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Reit) และการบริการทางการเงินมียอดขายสุทธิจากนักลงทุนสถาบันในห้าวันทำการนี้มากที่สุด ในขณะที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (ยกเว้น Reit) และอุตสาหกรรมสวนทางกับแนวโน้มและมียอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนสถาบันมากที่สุด
บริษัทต่างประเทศที่ไม่มีหุ้นเป็นหลักทรัพย์ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศเจ็ดบริษัททำการซื้อหุ้นคืนโดยมีจำนวนการชำระซื้อทั้งหมด 3.4 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในห้าวันทำการนี้
จำนวนการชำระซื้อหุ้นคืนนำโดย ST Engineering หลังจากที่ซื้อหุ้นคืนจำนวน 512,900 หุ้น ณ ราคาเฉลี่ยที่ 4.51 ดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อหุ้น เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ทำให้จำนวนหุ้นที่ซื้อภายใต้คำสั่งซื้อปัจจุบันมีจำนวนถึง 4 ล้านหุ้น หรือ 0.2% ของหุ้นที่ออก (ยกเว้น หุ้นทุนซื้อคืน) ณ การเริ่มต้นคำสั่งซื้อในเดือนเมษายน
Digital Core Reit Management เข้าซื้อหน่วยลงทุน 303,300 หน่วยของกอง Digital Core Reit เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ทำให้มีหน่วยลงทุนซื้อคืน 1.25% หน่วยลงทุนที่ออกตั้งแต่เริ่มมีการออกคำสั่งซื้อ
ระหว่างห้าวันทำการซื้อขายนี้ กรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนกว่า 30 บริษัท นำส่งรายงานการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนที่ตนเองมีส่วนได้เสียรวม 70 รายการ โดยกรรมการหรือประธานเจ้าหน้าที่บริหารส่งรายงานการเข้าซื้อหุ้นจำนวนสามครั้งและไม่มีการขายหุ้นใด ๆ ในขณะที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ส่งรายงานการเข้าซื้อหุ้นเจ็ดครั้งและการขายหุ้นเจ็ดครั้ง
SIA Engineering Company
ระหว่างวันที่ 6 และ 7 พ.ย. SIA Engineering Company (SIAEC) ซื้อคืนหุ้นจำนวน 290,100 หุ้น ณ ราคาเฉลี่ย 2.46 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น
การซื้อหุ้นคืนนี้ทำให้จำนวนหุ้นที่ซื้อภายใต้คำสั่งซื้อปัจจุบันมีจำนวนถึง 3.14 ล้านหุ้น หรือนับเป็น 0.29% ของของหุ้นที่ออก (ยกเว้น หุ้นทุนซื้อคืน) ณ การเริ่มต้นคำสั่งซื้อในเดือนกรกฎาคม ซึ่งได้เกิน 0.22% ของจำนวนหุ้นที่ออก (ยกเว้น หุ้นทุนซื้อคืน) เมื่อครั้งซื้อหุ้นคืนใน FY2024 (สิ้นสุด 31 มี.ค.)
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. SIAEC รายงานว่ารายได้ของกลุ่มใน H1 FY2025 (สิ้นสุด 30 ก.ย.) เพิ่มขึ้น 12.1% จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 576.2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
รายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากอุปสงค์ของธุรกิจการให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance, Repair and Overhaul หรือ MRO) ที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยทุกธุรกิจในส่วนการปฏิบัติงานมีรายได้ที่สูงขึ้น ทางกลุ่มบริษัทชี้แจงว่าความต้องการสำหรับบริการซ่อมบำรุงอากาศยานยังคงมีอยู่มากด้วยการเดินทางทางอากาศที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นและความล่าช้าในการส่งมอบเครื่องบิน สายการบินต่าง ๆ ต่างยังใช้เครื่องบินเก่าขึ้นบินทำให้ความต้องการสำหรับบริการซ่อมบำรุงอากาศยานเพิ่มขึ้น
ค่าใช้จ่ายใน H1 FY2025 ของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้น 11.5% เป็น 572.8 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยหลักมีสาเหตุจากค่าวัสดุ ค่าแรง และค่าซ่อมแซมที่สูงขึ้น และการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเทียบกับกำไรในช่วงเวลาก่อนหน้า ดังนั้น ผลการดำเนินงานใน H1 FY2025 ของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จากช่วงเวลา 12 เดือนก่อน ส่งผลในกำไรจากการดำเนินการจำนวน 3.4 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือและบริษัทร่วมทุนเพิ่มขึ้น 17.2% เป็น 58.6 ล้านดอลลาร์สิงโปร์ โดยกำไรส่วน 56.2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์มาจากส่วนเครื่องยนต์และส่วนประกอบ และกำไรส่วน 2.4 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์มาจากส่วนงานซ่อมบำรุงอากาศยานขั้นลานจอด กำไรส่วนนี้ทำให้กำไรสุทธิใน H1 FY2025 ของกลุ่มบริษัทมีจำนวนถึง 68.8 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เป็นการเพิ่มขึ้นถึง 16% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า
สำหรับปี 2567 จนถึงวันที่ 7 พ.ย. SIAEC มีกำไรส่วนต่างราคาที่ 3.4% โดยมีเงินปันผลช่วยเพิ่มผลตอบแทนทั้งหมดเป็น 6.1% ด้วยผลการดำเนินงานของช่วง H1 FY2025 ของบริษัท ทางบริษัทได้ประกาศเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.02 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้นโดยจะมีวันปิดสมุดทะเบียนปันผลวันที่ 12 พ.ย.
นอกจากนี้ หุ้นยังมียอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนสถาบันที่ 12 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปี 2567 นับถึงวันที่ 7 พ.ย. รั้งเป็นหนึ่งใน 25 หุ้นที่มียอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนสถาบันสูงที่สุดสำหรับช่วงเวลาดังกล่าว สวนทางกับยอดขายสุทธิจากนักลงทุนสถาบันที่มีคำสั่งขายโดยทั้งภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและตลาดหุ้นสิงคโปร์
SIAEC กล่าวว่าความต้องการสำหรับบริการซ่อมบำรุงอากาศยานยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ในการเดินทางทางอากาศ อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทก็รับรู้ได้ถึงความท้าทายของธุรกิจ เช่น ข้อจำกัดของห่วงโซ่อุปทาน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แรงงานที่จำกัด และความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ และยังกล่าวอีกด้วยว่าทางบริษัทกำลังจัดการกับประเด็นเหล่านี้อยู่ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนสูง
เพื่อที่จะคว้าโอกาสและรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ทางกลุ่มบริษัทจะให้ความสำคัญที่การเสริมสร้างสมรรถนะหลักให้แข็งแรงมากขึ้นและการขยายขีดความสามารถ กำลังการดำเนินการ และที่ยืนทางภูมิศาสตร์ของบริการซ่อมบำรุงอากาศยานของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางบริษัทจะดำเนินการดังกล่าวผ่านการลงทุนและความร่วมมือเพื่อยกระดับระบบนิเวศของบริการซ่อมบำรุงอากาศยาน
SIAEC เสริมว่าบริษัทจะยังควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด และกำลังเพิ่มความพยายามที่จะบูรณาการหลักการดำเนินการแบบลีน (ลดกระบวนการที่ไม่จำเป็นออกไป) และการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน หรือกระบวนการทำงาน (Dititalisation) ผ่านโครงสร้างระบบปฏิบัติการขององค์กร ทางกลุ่มบริษัทกล่าวว่าทางบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างบุคลากรที่มีทักษะอย่างต่อเนื่องผ่านความร่วมมือกับสถาบันระดับอุดมศึกษาต่าง ๆ
ในเดือนมีนาคม 2566 SIAEC ประกาศว่าได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับเจ็ดสถาบันในระดับอุดมศึกษาเพื่อสร้างความหลากหลายของบุคลากรที่มีทักษะ เพื่อเสนอโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับพนักงาน และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างอุตสาหกรรมกับสถาบันการศึกษา
DBS
ดังที่สรุปไว้ด้านบน DBS ได้ออกโปรแกรมการซื้อหุ้นคืนจำนวน 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์เมื่อวันที่ 7 พ.ย. หุ้นจะถูกซื้อคืนจากในตลาดหลักทรัพย์และหลังจากนั้นธนาคารจะดำเนินการลดทุนด้วยการตัดหุ้นที่ซื้อคืน การซื้อหุ้นคืนนี้จะถูกดำเนินการตามดุลยพินิจของฝ่ายบริหารและจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของตลาด
นับเป็นครั้งแรกที่ DBS ดำเนินการลดทุนโดยใช้วิธีการตัดหุ้นที่ซื้อคืน โปรแกรมนี้เป็นส่วนเพิ่มเติมจากการซื้อหุ้นคืนตามปกติสำหรับแผนหุ้นสำหรับพนักงาน ซึ่ง DBS ดำเนินการเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ที่ราคา 16.97 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น
ตามงบดุลของ DBS ณ เดือนกันยายน 2567 โปรแกรมนี้จะลดอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่1 ที่เป็นของเจ้าของ (CET1 ratio) ลงประมาณ 0.8% ซึ่งทางบริษัทเน้นย้ำว่าเป็นส่วนหนึ่งหลายวิธีการของกลยุทธ์การบริหารเงินทุน
กลยุทธ์เหล่านี้ได้รวมถึงการเพิ่มเงินปันผลตามรอบระยะเวลาบัญชีเป็นสองเท่าในห้าปีที่ผ่านมา เงินปันผลพิเศษที่จ่ายเป็นครั้งคราว และการจ่ายหุ้นโบนัสล่าสุด นอกจากนี้ DBS ยังได้เน้นย้ำถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ยั่งยืนและเพิ่มขึ้นตามผลกำไร
Piyush Gupta – CEO ของ DBS เน้นว่าโปรแกรมการซื้อหุ้นคืนนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงสถานะทุนและการสร้างทุนอย่างต่อเนื่องขอธนาคาร และ Tan Su Shan – Deputy CEO ยังกล่าวอีกว่าโปรแกรมการซื้อหุ้นคืนนี้ขยายแนวทางการจัดการเงินทุนให้กับธนาคาร ในขณะที่ Chng Sok Hui ประธานบริหารด้านการเงิน ยืนยันว่าโปรแกรมซื้อหุ้นคืนนี้จะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างถาวร นอกเหนือไปจากการเพิ่มผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
Raffles Medical Group
เมื่อวันที่ 30 ต.ค. Loo Choon Yong ประธานบริหารของ Rattles Medical Group ได้เข้าซื้อหุ้นจำนวน 1 ล้านหุ้นที่ราคาเฉลี่ย 0.8885 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น ทำให้ส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของเขาในผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพเอกชนแบบครบวงจรชั้นนำในเอเชียเพิ่มขึ้นจาก 55.36% เป็น 55.41% การเข้าซื้อหุ้นนี้เกิดขึ้นหลักการทำธุรกรรมที่คล้ายกันในวันที่ 29 ต.ค.
ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ Dr Loo ค่อย ๆ เพิ่มส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของเขาในหุ้นจาก 53.02% Raffles Medical ดำเนินการสถานพยาบาลใน 14 เมือง ทั่วทั้งสิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และกัมพูชา Raffles Medical ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2519 โดยมีคลินิกเพียง 2 คลินิกในสิงคโปร์ ซึ่งในปัจจุบัน กลุ่มบริษัทได้ให้บริการคนไข้มากกว่า 2 ล้านรายในแต่ละปี และได้ว่าจ้างพนักงานมากกว่า 2,700 คน รวมถึงมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาเกือบ 430 คน
Heeton Holdings
เมื่อวันที่ 1 พ.ย. Toh Gap Seng กรรมการผู้แทนของ Heeton Holdings ได้เข้าซื้อหุ้นจำนวน 100,000 หุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 0.25 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น ทำให้ส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของเขาเพิ่มจาก 5.86% เป็น 5.88%
เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้แทนของ Toh Giap Eng ประธานกรรมการบริหารในเดือนมกราคม 2565 ด้วยประสบการณ์มากกว่า 30 ปีในการพัฒนาและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของ Hong Heng
เมื่อวันที่ 3 ก.ย. Heeton ประกาศว่าบริษัทได้เข้าสู่ตลาดธุรกิจบริการของสิงคโปร์โดยการเข้าซื้อ Capri by Fraser Changi City เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมทุน โรงแรมจะถูกปรับปรุงใหม่และรีแบรนด์ใหม่เป็น Dorsett Changi City Singapore โดยมี Dorsett Hospitality International เป็นผู้ดูแลการดำเนินงาน การเข้าซื้อนี้เป็นการลงทุนในโรงแรมครั้งแรกในสิงคโปร์ของ Heeton และสอดคล้องไปกับกลยุทธ์ของบริษัทที่จะขยายอุตสาหกรรมการบริการ
“Inside Insights” เป็นคอลัมน์รายสัปดาห์ในหนังสือพิมพ์ The Business Times สามารถอ่านเวอร์ชันต้นฉบับได้ทีนี่