

08 Nov 2024 | Category: Market Updates
- การซื้อขายใน 5 วันทำการแรกของเดือนพฤศจิกายนทำให้ดัชนี Straits Times ฟื้นตัวขึ้น2% ทำให้ผลตอบแทนรวมของดัชนีในปี 2567 จนถึงวันที่ 7 พ.ย. อยู่ที่ 19.1% และทำให้มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมของดัชนีในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 500 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เป็น 556 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และมูลค่าตามราคาตลาดของตลาดหุ้นสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจาก 802 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เป็น 853 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
- ปัจจุบัน ดัชนี Straits Times มีส่วนของภาคธุรกิจการธนาคารและอสังหาริมทรัพย์อยู่ถึง 70% ซึ่งเน้นไปที่ความสำคัญของอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีของหุ้น (P/B) ที่ใช้เป็นตัววัดค่าการประเมิน ซึ่งอัตราส่วน P/B ของดัชนี Strait Times ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 3 เท่า เทียบกับค่า 2.5 เท่าเมื่อครั้งก่อนหน้าที่ดัชนีแตะระดับสูงสุดที่ 3,906.16 ในเดือนตุลาคม ปี 2560
- ธุรกิจธนาคารต่าง ๆ บนดัชนี Straits Times ได้รายงานถึงรายได้ที่ไม่ได้มาจากดอกเบี้ย (NOII) รวมของ 3QFY/24 ว่ามีการโตขึ้นถึงหนึ่งส่วนสามของระดับในช่วง 3QFY/23 โดยรายได้ที่ไม่ได้มาจากดอกเบี้ย (NOII) นี้เพิ่มจากระดับของช่วง 2QFY24 ถึง 18% ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันที่รายงานถึงรายได้ที่ไม่ได้มาจากดอกเบี้ย (NOII) มีจำนวนเกิน 4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในขณะที่รายได้ที่มาจากดอกเบี้ยรวมนั้นมีจำนวนเกิน 8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์เป็นไตรมาสที่แปดติดต่อกัน
- YZJ Shipbuilding ยังคงเป็นผู้ทำกำไรสูงสุดบนดัชนี Straits Times ในปี 2567 จนถึงวันที่ปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับในปี 2565, 2564 และ 2560 โดยหุ้นของบริษัทจะเข้าร่วมบนดัชนี MSCI Singapore ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. ก้าวเข้าสู่การเป็นหุ้นขนาดกลางตามระเบียบวิธีดัชนีตลาดที่ลงทุนได้ทั่วโลก (Global Investable Market Indices (GIMI) methodology) ของ MSCI นอกจากนี้ ทางกลุ่มบริษัทยังได้อัปเดตในสัปดาห์นี้ว่า เรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้านมียอดสั่งซื้อถึง 75% ของมูลค่าคำสั่งซื้อทั้งหมด
การซื้อขายใน 5 วันทำการแรกของเดือนพฤศจิกายนทำให้ดัชนี Strait Times ฟื้นตัวขึ้น 3.2% เป็น 3,673.49 ทำให้ดัชนีมีผลตอบแทนรวมในปี 2567 จนถึงวันที่ 7 พ.ย. เป็น 19.1% และทำให้มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมของดัชนีในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 500 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เป็น 556 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และมูลค่าตามราคาตลาดของตลาดหุ้นสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจาก 802 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เป็น 853 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ การซื้อขายในช่วงเช้าของวันที่ 8 พ.ย. ดัชนี Strait Times มีกำไรเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น 3,730.97 ซึ่งทำให้ดัชนีมีผลกำไรอยู่ในระยะ 5% ของผลกำไรสูงสุดที่ 3,906.16 ในเดือนตุลาคม 2560
ค่าประเมินอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีของหุ้น (P/B) ปัจจุบันที่ 1.3 เท่า นั้นลดลงจากค่าประเมินที่ 2.5 เท่า เมื่อตอนที่ดัชนี (ในวิธีคิดก่อนหน้า) มียอดกำไรสูงสุดที่ 3,906.16 โดยในปัจจุบัน ดัชนี Straits Times ยังคงมีส่วนของภาคธุรกิจการธนาคารและอสังหาริมทรัพย์อยู่ถึง 70% ซึ่งเน้นไปที่ความสำคัญของอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีของหุ้น (P/B) ที่ใช้เป็นตัววัดค่าการประเมิน
ดัชนี Straits Times ได้รับแรงหนุนจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจธนาคารในปีนี้ โดยธนาคาร 3 แห่ง บนดัชนี มีผลตอบแทนรวมเฉลี่ยถึง 33% ในปี 2567 จนถึงวันที่ 7 พ.ย. ซึ่งสอดคล้องกับผลตอบแทนรวมเฉลี่ยของธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่มีมูลค่าตามราคาตลาดปัจจุบันมากกว่า 50 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ นอกจากนี้ ส่วนเกินอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีของหุ้น (P/B) เฉลี่ย 5 ปี ของธนาคารที่อยู่ในดัชนี Straits Times ก็ยังสอดคล้องกับแนวโน้มที่เป็นที่สังเกตเห็นได้ทั่วภูมิภาค ผลดำเนินการล่าสุดของธนาคารต่าง ๆ และยอดซื้อขายนักลงทุนสถาบันจนถึงวันที่ 7 พ.ย. เป็นไปตามตารางด้านล่างนี้

ข้อมูลทั้งหมด ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567, ที่มา: SGX (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์) และ Refinitiv หมายเหตุ: ADT หมายถึง มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Turnover); NIF หมายถึง ยอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนสถาบัน (Net Institutional Inflow)
รายได้รวมทุกของ DBS Group Holdings (DBS), Oversea-Chinese Banking Corporation (OCBC) และ United Overseas Bank ได้ทำสถิติรายไตรมาสอีกครั้งใน 3QFY24 โดยรายได้ที่มาจากดอกเบี้ย (NII) รวมและรายได้ที่ไม่ได้มาจากดอกเบี้ย (NOII) รวมได้ทำสถิติตัวเลขสูงสุดใหม่ที่จำนวน 8.49 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และ 4.90 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ตามลำดับ ตามรูปภาพด้านล่าง รายได้ที่ไม่ได้มาจากดอกเบี้ย (NOII) รวมของ 3QFY24 โตขึ้น 33% จากระดับรายได้ใน 3QY23 เช่นเดียวกันกับรายได้ที่มาจากดอกเบี้ย (NII) ที่เพิ่มขึ้น 18% จากระดับรายได้ใน 2QFY24 นับเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันของรายได้ที่ไม่ได้มาจากดอกเบี้ย (NOII) ที่มีจำนวนเกิน 4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในขณะเดียวกันรายได้ที่มาจากดอกเบี้ย (NII) ก็โตติดต่อกับเป็นไตรมาสที่แปด

รายได้จากการซื้อขายที่สูงขึ้นนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างผลประกอบการ 3Q24 และอัปเดตต่าง ๆ ของ DBS, OCBD และ UOB
- DBS รายงานกำไรสุทธิของ 3QFY24 ว่าเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่จำนวน 03 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ รายได้รวมเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่จำนวน 5.75 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของงบดุล รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายจากการบริหารความมั่งคั่ง ยอดซื้อขายหลักทรัพย์ให้กับลูกค้าธนาคารที่สูงขึ้น และรายได้จากการซื้อขายในตลาดที่แข็งแกร่ง การขอสินเชื่อใน 3QFY24 เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่อัตราแลกเปลี่ยนเดียวกัน คุณภาพสินทรัพย์ยังคงแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ตกลง 1.0% และทรัพย์สินรอการขาย (non-performing asset) ลดลง 8% จากไตรมาสก่อนหน้า อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (CIR) อยู่ที่ 39% ใน 3QFY24 นอกจากนี้ DBS ยังออกโปรแกรมการซื้อหุ้นคืนจำนวน 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยหุ้นจะถูกซื้อคืนจากในตลาดหลักทรัพย์และหลังจากนั้นธนาคารจะดำเนินการลดทุนด้วยการตัดหุ้นที่ซื้อคืน นับเป็นครั้งแรกที่ DBS ดำเนินการลดทุนโดยใช้วิธีการตัดหุ้นที่ซื้อคืน โปรแกรมนี้เป็นส่วนเพิ่มเติมจากการซื้อหุ้นคืนตามปกติสำหรับแผนหุ้นสำหรับพนักงาน ซึ่งมีการดำเนินการเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ที่ราคา 16.97 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น โปรแกรมนี้จะลดอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่1 ที่เป็นของเจ้าของ (CET1 ratio) ลงประมาณ 0.8% ณ เดือนกันยายน 2567 ซึ่ง DBS เน้นย้ำว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การบริหารเงินทุนที่มีจำนวนมากขึ้น
- OCBD รายงานกำไรสุทธิของ 3QFY24 จำนวน 1.97 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งใน 3QFY24 เป็นผลจากการเติบโตอย่างมากของรายได้ที่ไม่ได้มาจากดอกเบี้ยและค่าเผื่อหนี้สูญที่ลดลง ทั้งยังมีกิจการการบริหารความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นทำให้มีค่าธรรมเนียมและรายได้จากการซื้อขายเพิ่มขึ้น และมีรายได้จากการขายประกันมากขึ้นเช่นเดียวกัน อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (CIR) เพิ่มขึ้นเป็น 38.5% จากการดำเนินงานที่ได้ผลกำไร คุณภาพสินทรัพย์ยังคงแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลงลง 0.9% การขอสินเชื่อลูกค้าโตขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่อัตราแลกเปลี่ยนเดียวกัน
- UOB ประกาศผลกำไรสุทธิสำหรับ 3QFY24 จำนวน 1.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นผลจากรายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิ และรายได้จากการซื้อขายและการลงทุน ที่ทำสถิติสูงสุด ผลการดำเนินงานนี้เกิดจากการขยายธุรกิจหลักที่หลากหลายทั้งในธุรกิจค้าส่ง ตลาดระดับโลก และธุรกิจค้าปลีก รายได้จากค่าธรรมเนียมโตขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าทำสถิติใหม่ที่จำนวน 630 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการความมั่งคั่ง รายได้ที่มาจากดอกเบี้ย (NII) เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งหนุนโดยการเติบโตของสินเชื่อจำนวน 5% รายได้ที่ไม่ได้มาจากดอกเบี้ย (NOII) อื่นๆ เพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 744 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรายได้จากการซื้อขายและการลงทุนที่ทำสถิติสูงสุด และรายได้จากการซื้อขายหลักทรัพย์ให้กับลูกค้าธนาคารจำนวนมาก ส่วนอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (CIR) สำหรับ 3QFY24 นั้นยังคงตัวที่ 41.5% บนฐานรายได้ที่โตขึ้นและการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง คุณภาพสินทรัพย์ยังคงแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ 1.5% งบดุลยังคงแข็งแกร่งโดยมีสภาพคล่องมากพอและมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่1 ที่เป็นของเจ้าของ (CET1 ratio) ที่ 15.5%
หุ้นธุรกิจธนาคารบนดัชนี Straits Times เป็นหุ้นที่ถูกจัดอันดับใน 10 หุ้นบนดัชนี Straits Times ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในปี 2567 จนถึงวันที่ 7 พ.ย. ในขณะที่ Yangzijiang Shipbuilding Holdings เป็นหุ้นที่แข็งแกร่งที่สุดของ 30 หุ้นบนดัชนี Straits Times การพัฒนาของหุ้นที่สำคัญสองประการในสัปดาห์นี้รวมถึง:
- ก่อนตลาดเปิดในวันที่ 7 พ.ย. MSCI ประกาศว่า Yangzijiang Shipbuilding Holdings จะเข้าร่วมบนดัชนี MSCI Singapore ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. ก้าวเข้าสู่การเป็นหุ้นขนาดกลางตามระเบียบวิธีดัชนีตลาดที่ลงทุนได้ทั่วโลก (Global Investable Market Indices (GIMI) methodology) ของ MSCI และความสำเร็จของอู่ต่อเรือที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของอู่ต่อเรือปัจจุบันอยู่ที่ 10 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์นั้นเป็นที่น่าจับตาเนื่องจากระดับการวัดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับสูงขึ้นสำหรับตลาดที่พัฒนาแล้วในทั้งสี่บทวิเคราะห์ของ MSCI ในปีนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการปรับดัชนีใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2567 สิงคโปร์ขึ้นมาเป็นตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชียเพียงตลาดเดียวที่มีหุ้นในดัชนี MSCI Standard เพิ่มขึ้นสุทธิ
- หลังจากตลาดปิดในวันที่ 7 พ.ย. Yangzijiang Shipbuilding Holdings ได้เปิดเผยถึงอัปเดตทางธุรกิจของ 3QFY24 ว่ายอดสั่งซื้อได้โตขึ้นจาก 14.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2566 เป็น 22.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ 7 พฤศจิกายน สำหรับการส่งมอบเรือ บริษัทสามารถส่งมอบเรือได้ 90% ของเป้าหมายการส่งมอบของปีงบ 2567 ทำให้บริษัทอยู่ในทิศทางที่จะบรรลุเป้าหมายทั้งปีของบริษัท โดยประมาณ 84% ของยอดสั่งซื้อใหม่นับจนถึงปัจจุบันเป็นยอดสั่งซื้อเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องไปกับการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีจำนวนประมาณ 75% ของมูลค่าคำสั่งซื้อทั้งหมด โดยเรือคอนเทนเนอร์ยังคงเป็นประเภทเรือหลักที่มีการสั่งซื้อ