• ด้วยสถานการณ์ที่โลกเริ่มให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนและสภาพอากาศที่ยืดหยุ่นมากขึ้นในอนาคต ทำให้หุ้นหลายตัวในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ยังคงมีความเคลื่อนไหวที่ปรับเพิ่มขึ้นในส่วนของหุ้นที่ประกอบกิจการในพลังงานยั่งยืน ซึ่งรวมไปถึงพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม หรือยานพาหนะที่เน้นในเรื่องของการประหยัดเชื้อเพลิง

 

  • Sembcorp Industries เป็นหุ้นนำตลาดของประเทศสิงคโปร์ในปีนี้ ด้วยผลตอบแทนทั้งหมดที่รวมมากถึง 56 % เนื่องจากการสนับสนุนการเปลี่ยนพลังงานทั่วโลก ทำให้บริษัทได้ตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิที่เพิ่มมากขึ้นด้วยการทำให้พอร์ตการลงทุนของบริษัทในเรื่องของการแก้ปัญหาพลังงานอย่างยั่งยืนให้ได้ถึง 70 % ภายในปี 2025 ทางด้านเคปเปลคอร์ปอเรชั่นเป็นหุ้นที่เติบโตเป็นอันดับสองของตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ด้วยผลตอบแทนทั้งหมดที่เพิ่มมากขึ้น 51 % โดยในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2023 นั้น พอร์ตการลงทุนทางด้านพลังงานทดแทนของเคปเปลมากสูงมากขึ้นถึง 3.0 GW คิดเป็นผลตอบแทนมากกว่า 60 % ของพอร์ตการลงทุนพลังงานทั้งหมดที่ 4.9 GW

 

  • Yangzijiang Shipbuilding เป็นหุ้นที่เติบโตเป็นอันดับสามของตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ด้วยผลตอบแทนทั้งหมด 32 % ปัจจุบันผลตอบแทนทั้งหมดถือเป็นตัวเลขที่สูงสุดตลอดกาลที่มากถึง $14.7 พันล้าน หรือประมาณ 56 % ของหุ้นเรือที่มีการใช้พลังงานเรือ ในขณะเดียวกันผลตอบแทนทั้งหมดในปีนี้เริ่มก่อตัวมากขึ้น ซึ่งในปีนี้หุ้น Seatrium ได้มีการเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์และยังคงรักษากำไรสุทธิเอาไว้อย่างมั่นคงที่ 40 % ในส่วนที่เป็นพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด/พลังงานสีเขียว

 

จากการบรรลุผลของประเทศทั่วโลกในยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนให้ได้ในปี 2030 และการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้เหลือศูนย์ภายในปี 2050 โดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติยังคงเดินหน้าในการลงทุนทางด้านโครงสร้างที่เกี่ยวกับความยั่งยืนและยืดหยุ่น โดย OECD ได้ประเมินว่า ผลตอบแทนตรงส่วนนี้จะเพิ่มมากขึ้นถึง $7 ล้านล้าน ภายในปี 2050 จากการลงโทษในโครงสร้างที่สามารถบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาได้

ในปีนี้เริ่มมีการพุ่งเป้าไปที่การลดก๊าซคาร์บอนต่ำลงเพื่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต ทำให้หุ้นหลายตัวในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในส่วนที่เป็นพลังงานยั่งยืนและการลดการใช้พลังงานในส่วนของภาคการขนส่ง สอดคล้องกับองค์การพลังงานระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ความผันผวนของพลังงานโลกเมื่อปี 2022 นั้น ชี้ให้เห็นถึงการที่พลังงานทดแทนเติบโตมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดได้ว่าจะมีการใช้พลังงานแบบผสมผสานกันในช่วงปี 2027 และกลายเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในส่วนของทางทะเลนั้น องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ได้ชี้ว่า ดัชนีประสิทธิภาพพลังงานของเรือที่มีอยู่และดัชนีความเข้มข้นของคาร์บอนมีผลกระทบในช่วงเดือนมกราคม ปี 2023 ซึ่งส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์นั้น เป็นเรื่องของการลดการใช้ก๊าซคาร์บอนที่มาจากเรือ

ในช่วงปี 2023 จนถึงวันที่ 8 กันยายน ตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์มีการให้ผลตอบแทนที่สูงมากขึ้นถึง 3.0 % ในขณะที่หุ้น 3 ตัวที่มีความแข็งแกร่งที่สูงให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ 46.5 % ซึ่งหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ประกอบไปด้วย Sembcorp Industries, Keppel Corporation และ Yangzijiang Shipbuilding หุ้นทั้งสามได้ลงทุนในส่วนของโครงสร้างทางด้านความยั่งยืนมากขึ้นหรือลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงมากขึ้น โดยที่หุ้นอันดับที่สี่ของตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสิงคโปร์นั้นก็คือ หุ้น Seatrium ที่ได้ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4 % ตลอดระยะเวลา 36 สัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยที่ Seatrium เป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนมากที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ในปีนี้ ตามมาด้วย Sembcorp Industries

picture111 3

ข้อมูลจาก: SGX, Refinitiv, Bloomberg (วันที่ 8 กันยายน ปี 2023 ในช่วงที่ราคาเป้าหมายได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน ของช่วงเช้า) บันทึกรายชื่อหุ้นข้างต้นเป็นการซื้อขายโดยเฉลี่ยในปีนี้ที่ถูกจัดเป็น 50 อันดับหุ้นสิงคโปร์ที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดแบบวันต่อวัน

ศักยภาพของหุ้นทั้ง 4 ตัวตามตารางข้างต้นนั้น ยังรวมไปถึงหุ้นตัวอื่นที่มีสัญญาความเคลื่อนไหวการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ตัวอย่างเช่น:

  • Jardine Cycle & Carriage ทางด้านผู้อำนวยการฝ่ายจัดการได้กล่าวเอาไว้ในช่วงเดือนเมษายนว่า ทางด้านบริษัทจะโฟกัสไปที่รถยนต์ไฟฟ้า โดยเขาได้กล่าวว่า ตลาดของประเทศอินโดนีเซียในส่วนของ EV เริ่มเติบโตขึ้นและบริษัทโตโยต้าเริ่มทำงานใกล้ชิดกับ Astra ในการจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้า ในขณะที่ Mercedes-Benz ในประเทศสิงคโปร์ได้มีการเดินหน้าผลิตถรถยนต์ไฟฟ้าแบบหรูหรา
  • ComfortDelGro Corporation ทางบริษัทได้กล่าวว่า จะมีการเร่งเดินหน้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยพุ่งเป้าไปที่การวางโครงสร้างการใช้รถยนต์ EV ระดับประเทศ และยังคงมีการเดินหน้าให้มีการใช้รถแท็กซี่ไฟฟ้าที่คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 8 ปี ในประเทศสิงคโปร์ ได้มีการเข้าร่วมทุนกับบริษัท ComfortDelGro Corporation และ ENGIE South East Asia ในการแก้ปัญหาและการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ด้วยการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่า 500 จุดและเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าภายในช่วงสิ้นปี
  • Samudera Shipping โดยปัจจุบันได้มีการเดินเรือเพิ่มมากขึ้น 30 ลำ ด้วยการใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่ประหยัดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการสร้างเรือใหม่อีก 6 ลำ ที่มีการออกแบบให้มีการประหยัดพลังงานมากึ้นภายในช่วงปี 2023 ถึงก่อนปี 2025 โดยเรือทั้ง 6 ลำถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการใช้เรือรุ่นใหม่ มีขนาดใหญ่และประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงมากขึ้น ตามมาด้วยการใช้เรือลำเก่าที่ใช้พลังงานน้อยลงในปีก่อนหน้านี้
  • Keppel Infrastructure Trustได้มีการลงทุนในส่วนของพลังงานทดแทนมากขึ้นถึง 25 % ในส่วนของ AUM ในปี 2023 โดยบริษัททรัสต์ได้มีการประกาศว่า ให้ความสนใจที่จะเข้าไปซื้อหุ้น Fäbodliden II บริษัทฟาร์มกังหันลมในประเทศสวีเดนจำนวน 13.4 % โดยที่บริษัทได้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันมาแล้วในปี 2022
  • NIO เป็นหุ้นรองที่ได้บุกเบิกในเรื่องของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบบอัจฉริยะ โดยมีการจัดส่งรถยนต์แล้วมากถึง 94,352 คันในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2023 ซึ่งเพิ่มมากขึ้นถึง 31.9 % แบบปีต่อปี

หุ้นทั้งสองตัวอย่าง Keppel Corporation กับ Sembcorp Industries ได้มียุทธศาสตร์ลงทุนทางด้านพลังงานยั่งยืนที่รวมไปถึงสินทรัพย์ประเภทพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และหุ้นทั้งสองตัวอย่าง Yangzijiang Shipbuilding กับ Seatrium ได้เดินหน้าในเรื่องของการใช้พลังงานในการเดินเรือที่ประหยัดมากขึ้นระหว่าง 10 เซนต์ ถึง 15 เซนต์ในทุก ๆ ดอลลาร์ตลอดการซื้อขายในตลาดหุ้นของแต่ละวัน

หุ้นทั้ง 4 ตัว ปัจจุบันมีการซื้อขายในระดับที่ต่ำ ซึ่งทางด้าน Refinitiv consensus ได้ประเมินราคาเป้าหมายเอาไว้ ซึ่งราคาเป้าหมายสามารถดูได้จาก  SGX Stock Screener และความเห็นที่ได้มีการวิเคราะห์หุ้นในช่วง 18 เดือนข้างหน้า

Seatrium

Seatrium ได้เข้าในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ในปีนี้และเป็นหุ้นอันดับ 6 ที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในปีนี้คิดเป็นมูลค่าสุทธิมากถึง $19.7 พันล้านในส่วนของโครงการที่มีการเดินหน้าในปี 2030 คาดว่าสร้างรายได้ถึง $7.9 พันล้านหรือ 40 % ในส่วนของการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด/พลังงานสีเขียว โดยที่ไตรมาส 1 ของปี 2023 หุ้นตัวใหม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งรวมไปถึงหุ้น Seatrium ที่ได้มีการวางโครงการชายฝั่งขนาดใหญ่ด้วยพลังงานทดแทน จากการที่บริษัทเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมนั้น ทำให้ Seatrium เริ่มมีการก่อสร้างในส่วนของโครงการชายฝั่ง 2GW HVDC สำหรับ TenneT ซึ่งถือเป็นโครงการชายฝั่งที่ใหญ่และมีอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมชายฝั่งและทำให้ TenneT สามารถเดินหน้าโครงการฟาร์มกังหันลมที่ชายฝั่งของประเทศเนเธอร์แลนด์เพื่อที่จะทำให้ยุโรปเป็นทวีปแรกที่สามารถให้พลังงานทดแทนได้ทุกสภาพอากาศ

  • ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2023 Seatrium ได้มีการจัดส่งแบตเตอรี่ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ให้กับทาง Ropax ferry, Leikanger ในการออกแบบและสร้างเรือ Norled และได้ยึดการออกแบบในส่วนของ LMG Marin
  • ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2023 Seatrium สามารถเอาชนะการประมูลด้วยมูลค่าสัญญามากถึง $500 ล้านในส่วนโครงการชายฝั่งในการเดินหน้าฟาร์มกังหันลมที่ชายฝั่งยุโรปในการติดตั้งพลังงานลมบริเวณชายฝั่งตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกา พลังงานนี้สามารถส่งให้กับครัวเรือนได้มากถึง 1 ล้านหลังในเมืองนิวยอร์กและเป็นการส่งเสริมให้สหรัฐอเมริกาใช้พลังงานสะอาด โดยที่ Seatrium ยังคงยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนที่ชายฝั่งเพื่อที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการลงทุนทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ในปี 2040 และเป้าหมายเหล่านี้ยังคงมีการเดินหน้าต่อไปเนื่องจากมีการใช้พลังงานลักษณะนี้มากขึ้นและการสนับสนุนของภาครัฐในการใช้ก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์
  • โดยบริษัทย่อยอย่าง LMG Marin นั้น ได้มีการเข้าร่วมลงทุนในโครงการกับหุ้นส่วนอย่าง GTT, TotalEnergies และ Bureau Veritas ในการพัฒนาไฮโดรเจนเหลวมากถึง 150,000 m3 ในความคิดที่ว่า สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยและใช้พลังงานไฮโดรเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพในการเดินทางทะเลด้วยการลดก๊าซคาร์บอน
  • การขับเคลื่อนเดินหน้าโครงการเพื่อความยั่งยืนนั้น เป็นผลมาจากการประยุกต์ใช้แหล่งพลังงานทดแทนของบริษัท Seatrium ทั้งในประเทศสิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, จีน, และบราซิล เช่นกันทางด้าน Seatrium ได้มีการอำนวยความสะดวกให้กับนายธนาคารในการซื้อขายด้วยมูลค่ามากถึง $1.1 พันล้านในส่วนที่เป็นโครงการทางด้านความยั่งยืน

Yangzijiang Shipbuilding

Yangzijiang Shipbuilding เป็นหุ้นอันดับ 8 ที่มีการซื้อขายมากที่สุดในปีนี้ เหตุผลมาจากการที่บริษัทได้ลงทุนในเรื่องของเรือพลังงานสะอาด เช่นเดียวกับความต้องการของเรือใช้เชื้อเพลิงร่วมที่เพิ่มสูงขึ้นที่เป็นผลมาจากการชนะประมูลปี 2022  ปัจจุบันยอดรวมมูลค่าทั้งหมดถือเป็นมูลค่าสูงสุดตลอดกลางที่ $14.7 พันล้านจากเรือทั้งหมด 181 ลำ รวมไปถึงเรือบรรทุกตู้สินค้าอีก 91 ลำ ซึ่ง 51 ลำเป็นเรือที่ใช้เชื้อเพลิงร่วม ส่วนเรือ 53 ลำ เป็นเรือบรรทุกสินค้าแบบเทกอง โดยเรือ 8 ลำมีการใช้พลังงาน LNG/LPG/LEG และอีก 29 ลำเป็นเรือบรรทุกน้ำมัน เรือที่ใช้พลังงานสะอาดประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ โดยตอนนี้มูลค่าสัญญาทั้งหมดคิดเป็น 56 % ในช่วงวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2023 เมื่อเทียบกับบันทึกที่เคยทำไว้ที่ 23 % เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2022

  • บริษัทยังคงเดินหน้าการใช้พลังงานสีเขียวในอุตสาหกรรมกับทางองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ โดยจะมีการใช้เทคโนโลยีสีเขียวในการเสริมแกร่งให้เป็นอุตสาหกรรมแถวหน้าและเดินหน้าทำการวิจัยและพัฒนาเพื่อเป้าหมายในการคัดเลือกบุคคลและลงทุนเพื่อที่จะทำให้บริษัทยังคงสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการใช้เรือพลังงานสะอาด
  • การต่อเรือหยางจื่อเจียง กรุ๊ป จำกัด ได้รับใบอนุญาตในการก่อสร้างเรือที่มีการใช้เทคโนโลยีเมมเบรน GTT Mark III ในช่วงเดือนกันยายน ปี 2022 ทำให้ บริษัทสามารถดำเนินยุทธศาสตร์ในการเข้าสู่ตลาด LNG ที่ใหญ่ได้ ด้วยการที่มีการใช้ GTT เมมเบรนที่ถือเป็นตัวเลือกสำหรับการบรรทุกตู้สินค้าและระบบฉนวนไฟฟ้าสำหรับเรือ LNG ขนาดใหญ่ ทั้งบริเวณชายฝั่งและนอกชายฝั่ง เรือ GTT เมมเบรนมีการวางโครงสร้างเรือและมีการใช้ก๊าซของเหลวในระดับที่มีอุณหภูมิต่ำระหว่างที่เดินทางในการเก็บสินค้าทั้งในและนอกชายฝั่ง โดย GTT ยังคงมีการใช้เทคโนโลยีเมมเบรน Mark III ในการเป็นข้อกำหนดสำหรับเจ้าของเรือและท่าเรือพร้อมกับบังคับใช้ตามข้อกำหนดในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมตรงส่วนนี้

Keppel Corporation

Keppel Corporation เป็นหุ้นอันดับ 11 ที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในปีนี้  โดยโครงสร้างพื้นฐานของเคปเปลนั้น ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2023 สามารถทำรายได้มากถึง 2 ใน 3 และยังคงเป็นธุรกิจที่ทรงอิทธิพลเช่นเดียวกับธุรกิจประเภทลดก๊าซคาร์บอนและแก้ปัญหาทางด้านความยั่งยืน ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2023 นั้น พอร์ตการลงทุนทางด้านพลังงานทดแทนของเคปเปลเติบโตมากขึ้น 3.0 GW หรือคิดเป็น 60 % ของพอร์ตการลงทุนทางด้านพลังงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงการสเปกตรัมของแสงอาทิตย์ (1.95 GW), พลังงานลม (0.96 GW) และพลังงานน้ำ (0.09 GW) โดยพอร์ตการลงทุนกว่า 4.9 GW เป็นกำไรที่ไม่มีการหักลบ และรวมไปถึงโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การพัฒนา ซึ่งโครงการกว่า 64 % ยังคงอยู่ภายใต้การดำเนินการ ในขณะที่ 36 % อยู่ภายใต้การพัฒนา

  • โรงงานไฟฟ้า Keppel Sakra Cogen (KSC)  เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้พอร์ตการลงทุนพลังงานทดแทนเติบโตขึ้นจากการวางท่อก๊าซ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมมิตซูบิชิ พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิค และจูร่ง เอ็นจิเนียริ่งที่ได้มีการพัฒนากลุ่มสักกะของเกาะจูล่ง โรงงานไฟฟ้า KSC จะกลายเป็นโรงงานระดับสากลที่มีไฟฟ้ามากถึง 600MW สามารถใช้กังหันก๊าซแบบร่วมได้ คาดว่าจะมีการดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2026 โดยโรงไฟฟ้า KSC ยังคงมุ่งมั่นในเรื่องของการเป็นบริษัทที่ใช้พลังงานประหยัดที่สุดในการเดินเรือในประเทศสิงคโปร์ด้วยประสิทธิภาพสูงสุด อย่างเช่นการลดความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนให้น้อยลงและดำเนินการได้ด้วยความยืดหยุ่น โดยจะมีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งทางด้านโรงไฟฟ้า KSC สามารถประหยัดพลังงานได้มากถึง 220,000 ตันต่อปีจากการใช้ก๊าซคาร์บอนเมื่อเทียบกับการใช้พลังงานโดยเฉลี่ยในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งการประหยัดก๊าซคาร์บอนนั้น เทียบได้กับการไม่ต้องใช้รถยนต์มากถึง 47,000 คันต่อปี
  • การลดการใช้พลังงานคาร์บอนให้เป็นศูนย์ การแก้ปัญหาความยั่งยืนยันนั้น ยังรวมไปถึงการใช้พลังงานจากขยะ การใช้ระบบลดอุณหภูมิเช่นเดียวกับการวางโครงสร้างพื้นฐานการใช้รถยนต์ไฟฟ้าด้วยการปฏิบัติการแบบดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์และการจับตาดูความเคลื่อนไหว ปัจจุบันบริษัทเคปเปลได้รับการสนับสนุนจากเกาะฮ่องกงในการใช้เทคโนโลยีการจัดการขยะแบบครบวงจร (IWMF) ในหลายเทศบาลในการกำจัดของเสีย ในช่วงเดือนกรกฎาคม เคปเปลได้ทำการลงนาม MOU กับ HBSC ในความเป็นกรรมสิทธิ์ของเคปเปลและพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนา, การบรรลุเป้าหมายและการดำเนินการในส่วนของนวัตกรรม, ความไว้วางใจและพลังงานยั่งยืนและโครงสร้างพื้นฐานทางด้านสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับความสามารถของ HSBC ในการใช้การเงินสีเขียวในการขับเคลื่อนและยกระดับการแก้ปัญหาสภาพอากาศและช่องทางการลงทุนในโครงการเพื่อความยั่งยืน
  • วันที่ 8 กันยายน เคปเปลคอร์ปอเรชั่นได้ประกาศว่า ได้รับการอนุมัติเงื่อนไขจากสำนักงานตลาดพลังงานสิงคโปร์ (EMA) ในการนำเข้าพลังงานระยะยาวและขายใน 300 เมกะวัตต์ (MW) ในส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าคาร์บอนต่ำจากแหล่งพลังงานทดแทนในประเทศอินโดนีเซียสู่ประเทศสิงคโปร์

Sembcorp Industries

Sembcorp Industries เป็นหุ้นอันดับ 13 ที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในปีนี้ โดยโครงการพลังงานทดแทนกว่า 2.1 GW ได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2023 โดยที่พลังงานทดแทนอยู่ที่ 11.9 GW และมีการติดตั้งแล้ว 8.6 GW และ 3.3 GW อยู่ภายใต้การพัฒนา กล่าวได้ว่าเซ็มบ์คอร์ป อินดัสทรีส์มีพอร์ตการลงทุนทางด้านพลังงานที่มีการติดตั้งแล้วและอยู่ภายใต้การพัฒนาที่ 19.4 GW โดยที่ 8.6 GW มีการติดตั้งแล้ว ส่วน 5.4 GW อยู่ในประเทศจีนและ 2.3 GW อยู่ในประเทศอินเดีย

  • จากการสนับสนุนการเปลี่ยนใช้พลังงานทั่วโลก ทำให้เซ็มบ์คอร์ปวางเป้าหมายในการสร้างกำไรสุทธิเติบโตมากขึ้นในส่วนของพอร์ตการลงทุนทางด้านความยั่งยืนที่ 70 % และวางเป้าหมายในการติดตั้งพลังงานทดแทนที่ 10 GW ในปี 2025 โดยที่แผนการเปลี่ยนพลังงานจากสีน้ำตาลมาเป็นสีเขียวนั้น ได้มีการเปิดตัวช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2021 หลังจากที่กำไรสุทธิของการแก้ปัญหาความยั่งยืนเพิ่มขึ้นที่ 40 % ของกำไรสุทธิเมื่อปี 2020
  • ในปี 2022 เซ็มบ์คอร์ป อินดัสทรีส์ มีพลังงานทดแทนที่เติบโตมากขึ้นถึง 60 % ไปจนถึง 8 GW และเซ็มบ์คอร์ป อินดัสทรีส์เป็นบริษัทที่มีระบบการจัดเก็บพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใน 6 เดือน
  • Sembcorp Industries เป็นบริษัทที่มีฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกของประเทศสิงคโปร์และมีระบบการจัดเก็บน้ำฝนแบบครบวงจรในช่วงปี 2022 จากการที่ประเทศสิงคโปร์อยู่ในช่วงหน้าฝนนั้น ตรงส่วนนี้คาดว่าจะมีการจัดเก็บน้ำและเพิ่มมากขึ้นถึง 170,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปีพร้อมกับทำความสะอาดด้วยการใช้แผงโซล่าเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
  • วันที่ 28 สิงหาคม เซ็มบ์คอร์ป อินดัสทรีส์ ได้มีการประกาศว่า ได้มีการร่วมกับบริษัทน้ำมันเวียดนามและ Gas Group Petrovietnam ในการสำรวจการพัฒนาการทำฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งในการส่งออกไฟฟ้าไปยังประเทศสิงคโปร์
  • ในฐานะที่เป็นผู้นำทางด้านการผลิตพลังงานทดแทนและเป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์ เซ็มบ์คอร์ป อินดัสทรีส์ยังคงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสิงคโปร์เป็นอย่างดีในการหาแนวทางในการพัฒนาไฮโดรเจนในฐานะที่เป็นตัวช่วยในการลดก๊าซคาร์บอน

รู้หรือไม่?

ไม่เหมือนกับบริษัทพลังงานที่ใช้กันอยู่แบบทั่วไป บริษัทพลังงานทดแทนไม่ได้เป็นโรงไฟฟ้าหลักและไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยการผลิตพลังงานขึ้นอยู่กับกำลังไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน (PLF) อย่างเช่นระดับความเข้มข้นของแสงอาทิตย์ (จากโซล่า) และแรงลม (จากกังหันลม)  ในทางทฤษฎี/ตัวบ่งชี้นั้นได้ระบุว่า หาก PLF ของพลังงานโซล่าในประเทศสิงคโปร์อยู่ระหว่าง 13 % ถึง 15 % ในปี 2022 และสอดคล้องกับการประเมินการใช้งานจากข้อมูลของ SP Group HDB แล้ว พลังงาน 1.0 GW จะสามารถส่งพลังงานไฟฟ้าให้กับแฟลตที่มี 4 ห้องได้ถึง 270,000 ห้องในปีนั้น!

 

Enjoying this read?

  • Subscribe now to the weekly SGX My Gateway newsletter for a compilation of latest market news, sector performances, new product release updates, and research reports on SGX-listed companies.
  • Stay up-to-date with our SGX Invest Telegram channel. 

 

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *