

28 Oct 2024 | Category: Market Updates
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ที่มีการซื้อหุ้นคืน
จำนวนหุ้น/หน่วยลงทุนที่ซื้อ | มูลค่าการซื้อคืน (S$) | ราคาเฉลี่ยต่อหุ้น (S$) | |
OCBC | 350,000 | 5,367,043 | 15.33 |
CapitaLand Investment | 1,750,900 | 5,188,878 | 2.96 |
UOB | 140,000 | 4,552,889 | 32.52 |
Seatrium | 1,005,000 | 1,997,371 | 1.99 |
Venture Corporation | 28,000 | 384,522 | 13.73 |
Global Investment | 1,500,000 | 180,346 | 0.12 |
Zheneng Jinjiang Environment Holding Company | 169,200 | 67,868 | 0.40 |
Intraco | 114,500 | 40,744 | 0.36 |
Trek 2000 International | 34,400 | 2,141 | 0.06 |
รวมทั้งหมด | 5,092,000 | 17,781,803 |
*ผ่านตลาดหลักทรัพย์
แหล่งข้อมูล: SGX
ในรอบการซื้อขาย 5 รอบระหว่างวันที่ 18 ถึง 24 ตุลาคม นักลงทุนสถาบันในตลาดหุ้นสิงคโปร์ มียอดขายสุทธิ 158 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งใกล้เคียงกับยอดขายจากนักลงทุนสถาบันสุทธิ 144 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ของรอบการซื้อขาย 5 รอบก่อนหน้านี้
หุ้นตัวหลักที่มียอดขายจากนักลงทุนสถาบันสุทธิสูงสุด ได้แก่ DBS, CapitaLand Integrated Commercial Trust, CapitaLand Ascendas Reit, Genting Singapore, Seatrium, CapitaLand Investment, UOB, Sembcorp Industries, Mapletree Logistics Trust และ Singtel.
ในทางกลับกันหุ้นที่มียอดซื้อจากนักลงทุนสถาบันสุทธิสูงสุด ได้แก่ OCBC, Keppel DC Reit, Jardine Cycle & Carriage, Thai Beverage, ST Engineering, Yangzijiang Shipbuilding Holdings, Frasers Centrepoint Trust, Sats, DFI Retail Group และ Venture Corporation
ณ วันที่ 24 ต.ค Wee Hur และ Yanlord Land มียอดซื้อจากนักลงทุนสถาบันสุทธิสูงสุดเป็นอันดับรองลงมา โดยรักษามูลค่าตลาดไว้ที่ 459 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และ 1.3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอุตสาหกรรม ในรอบการซื้อขายทั้ง 5 รอบ ทรัสต์เพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ (REITs) เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนสถาบันมีการขายสุทธิสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่ใช่วัฏจักรกลับมาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มียอดซื้อจากนักลงทุนสถาบันสุทธิสูงสุดอีกครั้งหนึ่งเช่นกัน
บริษัทจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ทั้งหมด 9 แห่งได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนเป็นมูลค่ารวม 17.8 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าสัดส่วนการจัดสรรปกติและเป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่าการซื้อหุ้นคืนที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 22 ต.ค. CapitaLand Investment ได้ทำการซื้อหุ้นคืน 1,750,900 หุ้น ในราคาเฉลี่ย 2.96 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับหุ้นที่ซื้อคืนในสัปดาห์ก่อน
ซึ่งเมื่อนับตั้งแต่เริ่มการเสนอซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไปรอบปัจจุบันทำให้จำนวนหุ้นทั้งหมดที่ซื้อคืนมาได้อยู่ที่ 1.9% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด (ไม่รวมหุ้นทุนซื้อคืนประเภท Treasury Stock)
CapitaLand Investment มีกำหนดการจะที่จะเผยแพร่รายงานทางธุรกิจที่อัปเดตสำหรับไตรมาสที่ 3 ของปีงบดุล 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน) ก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการซื้อขายในวันที่ 6 พฤศจิกายน
ระหว่างวันที่ 18 ถึง 24 ตุลาคม Digital Core Reit Management ยังเข้าซื้อหน่วยลงทุนคืนจำนวน 652,500 หน่วย ส่งผลการเสนอซื้อหน่วยลงทุนจากผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นการทั่วไปรอบปัจจุบันมียอดซื้อคืนรวมอยู่ที่ 1.22% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้ทั้งหมด
ผู้จัดการยังหมายเหตุในรายงานทางธุรกิจสำหรับไตรมาสที่ 3 ของปีงบดุล 2567 ว่านับจากต้นปีมาถึงช่วงเวลาปัจจุบัน (YTD) ได้มีการซื้อหน่วยลงทุนคืนไปแล้ว 22.2 ล้านหน่วย ในราคาเฉลี่ย 0.574 เหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้เงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนต่อหน่วย (DPU) เพิ่มขึ้น 1.5%
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม Parkway Trust Management Limited (ผู้จัดการของ Parkway Life Reit) ได้ประกาศแผนการระดมทุนอย่างน้อย 180 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ผ่านการเสนอขายหน่วยลงทุนใหม่แก่บุคคลในวงจำกัด ในราคา 3.80 ดอลลาร์สิงคโปร์/หน่วย
ผู้จัดการของ Parkway Life Reit ยังกล่าวว่าเงินทุน 159.9 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (88.8% ของรายได้) จะถูกนำไปใช้ในการซื้อบ้านพักคนชรา 11 แห่งในฝรั่งเศส ส่วนอีก 20.1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (11.2%) จะถูกนำไปใช้จ่ายค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าหน่วยลงทุนใหม่จะออกจำหน่ายประมาณวันที่ 1 พฤศจิกายน
การยื่นรายงานที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้เสียของกรรมการและการถือหุ้นที่สำคัญภายใต้โควต้าปกติเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยในระหว่าง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน มีการยื่นรายงานที่เกี่ยวข้องกับหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์แห่งแรกไม่ถึง 20 บริษัท รวมทั้งหมด 40 รายการ
Directors หรือ CEO มีการยื่นรายงานซื้อ 7 รายการและรายงานขาย 2 รายการ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่มีการยื่นรายงานซื้อ 7 รายการและรายงานขาย 6 รายการ
Sembcorp Industries
ในวันที่ 16 ตุลาคม Sembcorp Financial Services ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Sembcorp Industries ได้ออกตราสารหนี้ค้ำประกันดอกเบี้ยที่ได้รับการรับรอง ซึ่งจะครบกำหนดชำระในปี 2579 มูลค่า 350 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 3.65% ของมูลค่าทั้งหมดที่อยู่ในโครงการตราสารหนี้ Euro Medium Term Notes (EMTN) Program Series 001 Notes ซึ่งมีมูลค่าทั้งหมด 5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
การเสนอขายดังกล่าวได้รับความสนใจจนมีการจองเกินเป้าหมายเกือบสี่เท่า และนักลงทุนตราสารหนี้คุณภาพสูงหลากหลายกลุ่ม รวมถึงบริษัทประกันภัยระดับโลก ผู้จัดการสินทรัพย์ และธนาคารต่างมีความต้องการซื้ออย่างมาก
รายได้สุทธิจากตราสารหนี้ในโครงการนี้ จะถูกนำไปใช้เป็นเงินลงทุนหรือนำไปใช้ชำระคืนหนี้ในโครงการสีเขียวใหม่หรือโครงการที่มีอยู่ตามที่กำหนดไว้ในกรอบหลักเกณฑ์การระดมทุนเพื่อโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Sembcorp Green Financing Framework (2567) ซึ่งได้รับการปรับปรุงล่าสุดและมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม รวมถึงข้อกำหนดที่ระบุไว้ในหลักการของตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (GBP) หลักการการกู้ยืมเพื่อสิ่งแวดล้อม (GLP) และสรุปหลักเกณฑ์สำหรับธุรกรรมการจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมถึงพันธบัตรสีเขียว เงินกู้ และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน
ทั้ง Sembcorp Industries และ Sembcorp Financial Services ได้จัดตั้งโครงการตราสารหนี้ Euro Medium Term Notes (EMTN) Program มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ขึ้นในวันที่ 31 กรกฎาคม 2566
Yap Chee Keong กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหารและกรรมการอิสระของ Sembcorp Industries ได้ซื้อตราสารหนี้ EMTN Series 001 นี้ด้วยมูลค่าเงินต้น 250,000 ดอลลาร์สิงคโปร์
Yap ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการในเดือนตุลาคม 2559 มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการและการตรวจสอบ ตลอดจนประสบการณ์ในภาคอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการของบริษัทอื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมถึง Shangri-La Asia, Olam Group, Ensign InfoSecurity, Pacific International Lines, Singapore Life Holdings และ Seatrium.
เขายังดำรงตำแหน่งสำคัญๆ เช่น กรรมการบริหารของบริษัท The Straits Trading Company และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของ Singapore Power Group และเป็นคณะกรรมการกำกับดูแลและที่ปรึกษาของหน่วยงานสำคัญต่างๆ ในสิงคโปร์
Yap ยังเป็นคณะกรรมการของหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลภาคธุรกิจและผู้สอบบัญชี (ACRA) และ คณะกรรมการกำกับดูแลผู้สอบบัญชี (PAOC) และมีส่วนร่วมในคณะทำงานเกี่ยวกับแนวทางของคณะกรรมการตรวจสอบ และแนวปฏิบัติของคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงของ ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS), ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) และ ACRA
Sembcorp Industries เปิดตัวกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี 2561 และแผนการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเชิงกลยุทธ์ในปี 2564 อย่างไรก็ตาม ภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 บริษัทก็บรรลุเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียน 10 กิกะวัตต์ และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2568 ได้เร็วกว่ากำหนด ดังนั้นบริษัทฯ จึงจัดทำแผนสำหรับปีพ.ศ. 2567-2571 โดยตั้งเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียนไว้ที่ 25 GW ภายในปี 2571 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2593
บริษัทฯ ได้ประกาศกรอบหลักเกณฑ์การระดมทุนเพื่อโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Green Financing Framework เป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2564 โดยมีสินเชื่อที่เกี่ยวกับกับการดำเนินงานด้านเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 เป็น 39% ของหนี้รวมของ Sembcorp Industries มูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
สำหรับช่วงครึ่งแรกของปีงบดุล 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน) Wong Kim Yin ประธานกลุ่มบริษัทและ CEO ของ Sembcorp Industries กล่าวถึงผลการดำเนินงานมีความมั่นคงแม้ว่าจะมีสถานการณ์ราคาไฟฟ้าลดลงในขณะที่ค่าการซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นก็ตาม ตอกย้ำความแข็งแกร่งของกลยุทธ์การทำสัญญาและผลงานที่มีประสิทธิภาพสูงของบริษัท ทำให้กลุ่มบริษัทอยู่ในสถานะที่มั่นคงสำหรับดำเนินงานตามกลยุทธ์และความต้องการขององค์กรที่กำลังเติบโตในระหว่างปี 2567-2571
กลุ่มบริษัทได้รายงานผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีงบดุล 2567 ที่ลดลงว่ามาจากกลุ่มธุรกิจก๊าซและบริการที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการบำรุงรักษาตามแผนในสิงคโปร์ และการจำกัดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าที่ยกระดับขึ้นในกลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของจีน
อย่างไรก็ตาม รายได้ที่หายไปเหล่านี้ถูกชดเชยด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจโซลูชันในเขตเมืองแบบบูรณาการ ซึ่งได้แรงหนุนจากการขายที่ดินในเวียดนามและอินโดนีเซีย
การคาดการณ์ในอนาคต กลุ่มบริษัทคาดว่าผลกำไรจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีจากกลุ่มธุรกิจก๊าซและบริการที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ผลกำไรจากพลังงานหมุนเวียนอาจลดลงเนื่องจากเป็นไปตามฤดูกาลและความท้าทายทางเศรษฐกิจในประเทศจีน
GuocoLand
ในช่วงวันที่ 21 ถึง 22 ตุลาคม Quek Leng Chan ประธานบริษัท และกรรมการที่ไม่เป็นอิสระของ GuocoLand ได้เพิ่มผลตอบแทนที่เหมาะสมผ่านการซื้อในตลาดเปิดโดย Associated Land Sendirian Berhad จำกัดที่ราคาซื้อ 1.59 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น ซึ่งก่อนหน้านั้นในวันที่ 10 มิถุนายนเขาได้ซื้อหุ้นจำนวน 56,000 หุ้นที่ราคา 1.50 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น
Quek ยังคงรักษาผลตอบแทนที่เหมาะสมไว้ที่ 71.86% ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่สามารถประกอบกิจการครอบคลุมทั้งห่วงโซ่มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมถึงการวางแผนและการออกแบบ การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ การพัฒนา การจัดการ และการจัดการสินทรัพย์
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนของกลุ่มบริษัท ซึ่งมีมูลค่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 อยู่ที่ 6.56 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จดทะเบียนอยู่ในตลาดสำคัญๆ ในสิงคโปร์ จีน และมาเลเซีย
ในปีงบดุล 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน) GuocoLand มีรายได้ 1.82 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 18% จาก ปีงบดุล 2566 โดยทั้งกลุ่มการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีรายได้โตขึ้นเป็นเลขสองหลัก นอกจากนี้กลยุทธ์ในการเพิ่มรายได้ประจำจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ส่งผลให้รายได้จากค่าเช่าเพิ่มขึ้น 35% โดยได้แรงหนุนจากสัญญาเช่าใหม่ที่ Guoco Midtown
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทหมายเหตุถึงการคาดการณ์ว่าการดำเนินธุรกิจค้าปลีกที่กำลังจะมีขึ้นที่ Guoco Midtown II และที่ Lentor Modern จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานรายได้ประจำของบริษัทในปีต่อๆ ไป
Quek ยังกล่าวไว้เมื่อเดือนกันยายนว่า GuocoLand อยู่ในสถานะที่พร้อมต่อการรับมือกับความไม่แน่นอนโดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานในธุรกิจหลักที่มีความแข็งแกร่งและความสามารถที่ครอบคลุม และจะรักษาการจัดการเงินทุนอย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้อยู่ในแผน
TOTM Technologies
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม Thomas Clive Khoo ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ TOTM Technologies ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นโดยตรงในบริษัทจดทะเบียน Catalist-listed เป็น 6%
7 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น Khoo กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ TOTM Technologies จากการซื้อหุ้นจำนวน 1.7 ล้านหุ้นในราคาเฉลี่ย 0.034 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม Irawan Mulyadi กรรมการบริหารและ CEO ได้เข้าซื้อหุ้น 350,000 หุ้นที่ราคา 0.035 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นทั้งหมดของเขาในธุรกิจผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ด้านการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับการพิสูจน์/ยืนยันตัวตนและ biometrics ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางเพิ่มขึ้นจาก 1.75% เป็น 1.77%
ก่อนหน้านี้ Irawan Mulyadi เคยดำรงตำแหน่งกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร และปัจจุบันก็ได้รับการแต่งตั้งให้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งอีกครั้งเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม หลังจากการทบทวนกลยุทธ์ภายในเกี่ยวกับทิศทางของกลุ่มบริษัท
เมื่อวันที่ 10 กันยายน TOTM Technologies ได้สรุปกลยุทธ์สำคัญ 5 ประการในการอัปเดตองค์กรและธุรกิจ
- มุ่งเน้นไปที่จุดแข็งหลักในฐานะผู้บูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับการพิสูจน์/ยืนยันตัวตนทางดิจิทัลและ biometrics ในอินโดนีเซีย
- สร้างความร่วมมือในด้านปัญญาประดิษฐ์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการรับรองทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อปรับปรุงแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับการพิสูจน์/ยืนยันตัวตนที่มีอยู่
- ลดการสนับสนุนการให้คำปรึกษาในสำนักงาน 6 แห่งทั่วโลก เปลี่ยนเส้นทางทรัพยากรไปยังอินโดนีเซียและสิงคโปร์ และรวบรวมพนักงานในอินเดียเพื่อลดต้นทุน
- การทบทวนโครงสร้างองค์กรและขั้นตอนการทำงานเพื่อประสิทธิภาพและระดับการบริการที่ดีขึ้น และ
- เร่งการร่วมทุนและการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาความสามารถใหม่ๆ และคว้าโอกาสในตลาดอินโดนีเซียและต่างประเทศ
Inside Insights เป็นคอลัมน์รายสัปดาห์ของ The Business Times อ่านต้นฉบับ