

14 Apr 2025 | Category: Market Updates
REIT ที่มียอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนสถาบันสูงที่สุด ระหว่างวันที่ 7-10 เมษายน
REIT ที่มียอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนรายย่อยสูงที่สุด ระหว่างวันที่ 7-10 เมษายน
ที่มา: Bloomberg, SGX (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์) ข้อมูล ณ วันที่ 10 เมษายน 2568
NIF หมายถึง ยอดซื้อขายสุทธิจากนักลงทุนสถาบัน (Net Institutional Flow)
NRF หมายถึง ยอดซื้อขายสุทธิจากนักลงทุนรายย่อย (Net Retail Flow)
ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจากภาษีและความตึงเครียดทางการค้าได้ก่อให้เกิดความผันผวนอย่างมากในตลาดทั่วโลกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนใช้แนวทางหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
ในส่วนภาคทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สิงคโปร์ (S-REIT) เองก็ไม่ได้รอดพ้นจากความเชื่อมั่นที่ลดน้อยลงเช่นกัน โดยมีการเทขายครั้งใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการประกาศชะลอการเก็บภาษีชั่วคราวบางรายการเมื่อวันที่ 9 เมษายน
นับตั้งแต่ที่ภาษี “วันปลดแอก (Liberation Day)” ถูกประกาศขึ้นโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 2 เมษายน ดัชนี iEdge S-REIT ได้ตกลง 7.5% ณ วันที่ 10 เมษายน เป็นการกลับผลการดำเนินงานที่เป็นบวกที่มีเมื่อเดือนที่แล้ว
ถึงอย่างนั้น ดัชนีชี้วัด REIT ของสิงคโปร์ก็ยังดีกว่าดัชนีหุ้นหลักอื่น ๆ มากในช่วงเวลาเดียวกัน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ดัชนี Straits Times โดยรวมตกลง 9.5% ในระหว่างวันที่ 2 และ 10 เมษายน ในขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง และดัชนี S&P 500 ที่ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหุ้น Wall Street ตกลง 11.3% และ 7.9% ในสกุลดอลลาร์สิงคโปร์ตามลำดับ
ในขณะที่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในวงกว้างทั่วโลกจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ภาค S-REIT อาจเป็นที่ป้องกันจากความเสี่ยงดังกล่าวให้กับนักลงทุนได้บ้าง เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นในตลาดโลกในระดับต่ำ
ในปัจจุบัน ภาคธุรกิจนี้มีการซื้อขายที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลค่อนข้างสูง ทําให้นักลงทุนมีโอกาสในการสร้างรายได้ในช่วงเวลาที่สินทรัพย์อื่น ๆ ส่วนใหญ่กําลังเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างมาก
ณ วันที่ 10 เมษายน ผลตอบแทนเฉลี่ย 12 เดือนย้อนหลังจากภาค S-REIT ที่มีการจ่ายเงินปันผลในปัจจุบันได้เพิ่มขึ้น เป็น 7.3% จาก 6.9% ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์
ปัจจุบัน S-REIT ที่ถือครองทรัพย์สินต่างประเทศเป็นหลัก อย่างเช่น Sasseur REIT, Elite UK REIT, Stoneweg European REIT และ CapitaLand China Trust อยู่ในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่สุด
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Bloomberg แสดงให้เห็นว่า ดัชนี iEdge S-REIT มีการซื้อขายในปัจจุบัน ณ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 12 เดือน ประมาณ 6% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ 5.2%
ในขณะที่ตลาดโลกผันผวนอย่างรุนแรงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาท่ามกลางข่าวเรื่องภาษีต่าง ๆ นักลงทุนรายย่อยกลับเป็นผู้ซื้อสุทธิในภาค S-REITs ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการแสวงหาผลตอบแทน
ระหว่างวันที่ 7 เมษายน ถึง 10 เมษายน นักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิใน S-REIT ถึง 92.5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยทรัสต์สี่แห่ง ที่ติดอันดับใน 10 การเข้าซื้อสุทธิโดยนักลงทุนรายย่อยสูงสุดในตารางอันดับ ได้แก่ Mapletree Logistics Trust (MLT), CapitaLand Ascendas REIT (CLAR), Suntec REIT และ Mapletree Industrial Trust
ส่วนนักลงทุนสถาบันนั้นเป็นผู้ขายสุทธิของภาคธุรกิจในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมียอดขายสุทธิที่ 42.7 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดย MLT, CapitaLand Integrated Commercial Trust (CICT) และ Suntec REIT เป็นหนึ่งในทรัสต์ที่มียอดขายสุทธิโดยนักลงทุนสถาบันสูงที่สุด
อย่างไรก็ตาม มีทรัสต์สองแห่งอย่าง Frasers Centrepoint Trust และ CLAR ที่ติดอันดับใน 10 อันดับสูงสุดในแง่การเข้าซื้อสุทธิโดยนักลงทุนสถาบันในสี่วันทำการซื้อขายดังกล่าว
มีทรัสต์สี่แห่งที่มีการเข้าซื้อสุทธิทั้งจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยระหว่างวันที่ 7 เมษายน และ 10 เมษายน ได้แก่ CLAR, Lendlease Global Commercial REIT, CDL Hospitality Trusts และ CapitaLand Ascott Trust
นอกเหนือจากการลงทุนโดยตรงใน S-REIT แต่ละกองทุนแล้ว นักลงทุนบางรายยังได้เลือกที่จะใช้ช่องทางการลงทุนใน ETF อีกด้วย ในห้ากองทุน ETF ที่ลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ NikkoAM-StraitsTrading Asia ex Japan REIT ETF (ชื่อหุ้น: CFA) และ the Lion-Phillip S-REIT ETF (ชื่อหุ้น: CLR) มียอดการเข้าซื้อเยอะที่สุด ด้วยมูลค่าการเข้าซื้อสุทธิของหน่วยลงทุนใหม่รวมถึง 25 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 2 และ 10 เมษายน
ระหว่างช่วงเวลานี้ การซื้อขายต่อวันของ REIT ETF ห้ากองรวมกันมีมูลค่าเกิน 10 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งมากเป็นสามเท่าของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนมีนาคม 2568
นักวิเคราะห์แนะนำให้นักลงทุนยังคงใช้ความระมัดระวังในการจัดสรรการลงทุนใน S-REIT ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากภาษีอาจส่งผลกระทบต่อบางกลุ่มย่อยมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ไม่ว่าจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ของพอร์ตการลงทุน หรือจากลักษณะของทรัพย์สิน โดยหุ้นในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยมีความเสี่ยงมากกว่า
Jonathan Koh นักวิเคราะห์จาก UOB Kay Hian กล่าวเมื่อต้นเดือนว่า S-REIT ที่มีความเสี่ยงต่ำมากที่สุด คือ S-REIT ที่ลงทุนในภาคธุรกิจค้าปลีกชานเมือง การดูแลสุขภาพ และศูนย์ข้อมูล โดย S-REIT ที่มีอายุเฉลี่ยของสัญญาเช่าถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (WALE) ยาว หรือมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (gearing ratio) ต่ำ อาจมีความยืดหยุ่นมากกว่า โดยหุ้นที่เขาเลือกเป็นอันดับต้น ๆ คือ CICT, ParkwayLife REIT และ Digital Core REIT
สําหรับการวิจัยและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาค REIT ของสิงคโปร์ โปรดไปที่ https://www.sgx.com/securities/sectors สําหรับแผนภูมิ SREITs & Property Trusts
REIT Watch เป็นคอลัมน์ประจำใน The Business Times อ่านเวอร์ชันต้นฉบับได้ที่นี่ https://www.businesstimes.com.sg/companies-markets/s-reits-secondary-fundraising-rebounds-2024-more-may-tap-capital-markets-next-year